ผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 25 ปีได้แต่งงานกับสามีของเธอที่อายุ 27 ปี ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจนและใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก ในที่สุดเธอก็ได้ตั้งครรภ์ทารกเพศชาย แต่เนื่องจากเธอได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงพอ ทั้งแม่และลูกจึงอยู่ในสภาวะอันตรายที่จะคลอด โชคดีที่แพทย์สามารถช่วยชีวิตแม่ลูกทั้ง 2 ได้อย่างปลอดภัย
หลังจากนั้นเมื่อเด็กโตจนอายุได้ 10 ขวบ ภรรยาก็ตั้งครรภ์อีกครั้งหนึ่ง แต่การตั้งครรภ์ครั้งนี้ถือว่ามีอันตรายกว่าครั้งแรกมาก เนื่องจากภรรยายังมีโรคที่ยังรักษาไม่หายและยังมีความผิดปกติของร่างเหลือที่หลงเหลือจากครรภ์แรก ดังนั้นเธอจึงต้องประสบภาวะในการตั้งครรภ์อีกครั้ง แต่สุดท้ายสามีและแม่สามีเห็นพ้องกันว่าไม่ควรเก็บเด็กไว้แต่เธอไม่ฟัง! เธอตัดสินใจคลอดลูกอีกครั้งหนึ่งและครั้งนี้แพทย์ได้ตรวจพบว่าเธอเป็นมะเร็งที่ปากมดลูกและอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงอายุ 40 ปี
ตั้งแต่ปีที่แล้วแม่สามีได้สั่งให้ภรรยาไปโปรยข้าวสารที่ข้างถนนทุกคืน ภรรยาถามถึงเหตุผลแต่แม่สามีก็ไม่เคยบอกเธอเลย บอกเพียงแค่ว่าหากทำแล้วเธอจะหายป่วย ภรรยาโปรยข้าวสารได้ประมาณเกือบครึ่งปีและมีอยู่คืนหนึ่งขณะที่เธอออกไปโปรยข้าวสารอยู่นั้นบังเอิญได้พบกับเพื่อนบ้าน
เมื่อเธอเห็นเพื่อนบ้าน เธอจึงเดินเข้าไปพูดคุยและเพื่อนบ้านถามเธอว่า "แม่สามีเป็นคนดีจริงๆ ข้าวสารนี้แม่สามีเป็นคนให้เธอกับมือใช่ไหม?" เธอจึงพยักหน้าตอบ "เธอไม่รู้ใช่ไหม? มีความเชื่อโบราณที่ว่าการโปรยข้าวสารไปตามท้องถนนคือการหยิบยืมขอชีวิต หากมีคนยินดีให้ข้าวสารที่แช่น้ำแล้วใส่ไว้บนมือผู้รับ เมื่อโปรยข้าวสารออกไปแล้วเท่ากับว่าคนที่ให้ข้าวสารยินดีให้หยิบยืมชีวิต"
เมื่อภรรยาได้ยินเพื่อนบ้านพูดเช่นนี้ เธอจึงตกใจมากและกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป แม่สามีดีกับเธอมาก ตั้งแต่ที่แม่สามีรู้ว่าเธอเป็นมะเร็ง แม่ทำงานบ้านเองคนเดียวไม่ยอมให้เธอทำงานบ้านเลยแม้แต่น้อยเพราะแค่อยากให้เธอได้พักผ่อน แต่ตอนนี้แม่สามียอมให้เธอหยิบยืมเพื่อต่อชีวิตของเธอตามความเชื่อ ถึงแม้จะเป็นแค่ความเชื่อเก่าๆแต่สำหรับคนแก่ที่มาจากบ้านนอกที่ไม่ได้รับการศึกษาอย่างแม่สามีแล้ว นี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่ท่านจะสามารถทำได้แล้ว
ที่มา ; http://narinthainee4-you.blogspot.com/2016/01/blog-post_736.html
0 comments:
Post a Comment